inboonnadotcom

Archive for the ‘Uncategorized’ Category

ประวัติส่วนตัว

ชัยวัฒน์  อินบุญนะ

                                 

ชื่อ                           ชัยวัฒน์                                 นามสกุล               อินบุญนะ

เพศ                        ชาย                        สัญชาติ                  ไทย

เชื้อชาติ                  ไทย                        ศาสนา                   พุทธ

เกิดวัน จันทร์  ที่ ๓๑    เดือน  มกราคม  พุทธศักราช  ๒๕๒๐  ปี มะโรง เวลา ๑๑.๕๐ น.

เกิดที่บ้านเลขที่ ๑๙๖๕/๑๐-๑๒  ซ.วัดคิด  ต. ท่าวัง  อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ประเทศ ไทย

ชื่อมารดา              นางยวงเงิน          นามสกุล               อินบุญนะ                             อาชีพ   ค้าขาย

ชื่อบิดา                   นายจรูญ               นามสกุล               อินบุญนะ                             อาชีพ   ค้าขาย

ชื่อเล่น                   เดย์                          อายุ         ๓๓         ปี             สถานภาพปัจจุบัน              โสด

เบอร์โทรศัพท์      ๐๘ ๖-๘๑๐๐-๔๕๓           E-mail  inboonna@hotmail.com

สถานที่ทำงานปัจจุบัน      โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโพธาราม(แผนกสามัญศึกษา)

ตำแหน่ง                ครู

วิชาที่สอน             วิชาวิทยาศาสตร์ ม.๔-ม.๖  และ วิชาคณิตศาสตร์ ม. ๓ – ม.๖

สถานที่อยู่ปัจจุบันตามทะเบียนบ้านเลขที่   ๒๘๕     หมู่    ๑    ตำบล    สังขะ    อำเภอ                สังขะ

จังหวัด  สุรินทร์      รหัสไปรษณีย์   ๓๒๑๕๐

จำนวนพี่น้อง      ๒  คน   ชาย  ๑  คน          หญิง  ๑ คน       เป็นบุตรคนที่     ๒

กิจกรรมยามว่าง                  อ่านหนังสือ, ท่องอินเตอร์เน็ต

ความมุ่งหมายในชีวิต        ความสำเร็จในชีวิต ทั้งหน้าที่การงาน และครอบครัว

คติประจำใจ         ฝันให้ไกลไปให้ถึง

ข้อคิด                    วันเวลาที่มืดมิดมีเพียงแค่ ๖๐ วินาที

แนวทางดำเนินชีวิต           ทางสายกลาง

หนังสือที่ชอบอ่าน             

  • Ø หนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตน เช่น  พบกันที่จุดสูงสุด ของซิกซิกล่าร์
  • Ø หนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบ
  • Ø หนังสือจิตวิทยาทุกแนว  เช่น  การพัฒนาจิตใต้สำนึก NLP
  • Ø หนังสือธรรมะ  พระไตรปิฎก  หนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติอริยะสาวกต่างๆ   หนังสือสายพระปฏิบัติ  หลวงปู่มั่น   หลวงพ่อชา   หลวงพ่อสด   หลวงพ่อพุทธทาส  หลวงพ่อพระธรรมปิฎก
  • Ø หนังการ์ตูน  นวนิยายเรื่องสั้น  ชีวประวัติบุคคลสำคัญ
  • Ø หนังสือเอกสารต่างๆ เศษกระดาษ ถุงกล้วยแขก ถุงพับ ฯลฯ ที่ให้ความรู้ และแง่คิดต่างในชีวิต

 

ด้านการศึกษา

 

อนุบาล                                  จบการศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลชูศิลป์วิทยา       จ.นครศรีฯ  ปีพ.ศ. ๒๕๒๗

ประถมศึกษาปีที่ ๑-๖         จบการศึกษาที่โรงเรียนวัดพระมหาธาตุวรวิหาร  จ.นครศรีฯ  ปีพ.ศ. ๒๕๓๒

มัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓           จบการศึกษาที่โรงเรียนปากพูน                           จ.นครศรีฯ  ปีพ.ศ. ๒๕๓๕

มัธยมศึกษาปีที่ ๔                จบการศึกษาที่โรงเรียนวัดสังเวช    แขวงวัดสามพระยา    เขตพระนคร

กรุงเทพมหานคร      สายวิทย์ – คณิต    ปีพ.ศ. ๒๕๓๖

ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(หลักสูตร๔ปี รับนักเรียนสายวิทย – คณิต)           

จบการศีกษาที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล  วิทยาเขตนนทบุรี

(ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ)       สาขา  ไฟฟ้า

ปีพ.ศ. ๒๕๔๐

ปริญญาตรี                            จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

สาขาศิลปศาสตร์บัณฑิต(สารนิเทศศาสตร์) วิชาเอก สารนิเทศสำนักงาน

ปีพ.ศ. ๒๕๔๕

ประกาศนียบัตรบัณฑิต     จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

สาขาวิชา ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู  ปีพ.ศ. ๒๕๕๒

ปัจจุบันกำลังศึกษาปริญญาตรี         มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์   คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม    สาขาวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม   แขนงวิชาคอมพิวเตอร์อุตสาหกรรม

 

การศึกษาด้านทางธรรม

 

ปีพ.ศ. ๒๕๔๑                                      จบการศึกษาระดับนักธรรมศึกษาชั้นตรี        

ปีพ.ศ. ๒๕๔๒                                     จบการศึกษาระดับนักธรรมศึกษาชั้นโท       

ปีพ.ศ. ๒๕๔๓                                     จบการศึกษาระดับนักธรรมศึกษาชั้นเอก

 

                                                            ประวัติการทำงาน

 

ปีพ.ศ. ๒๕๕๑ – ปัจจุบัน                          ครู  โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโพธาราม อ.สังขะ จ.สุรินทร์

ปีพ.ศ. ๒๕๔๓ – ปีพ.ศ. ๒๕๕๑             หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท ไอเดียลแอพโพรช กรุงเทพฯ

ปีพ.ศ. ๒๕๔๐ – ปีพ.ศ. ๒๕๔๑              เจ้าหน้าที่ติดตั้งระบบโทรศัพท์ บริษัทเคเบิลซิสเต็ม

จ.สุรินทร์

เรื่องเล่าของข้าพเจ้า

 

ความเป็นมาของชีวิต

 

            ในครอบครัวแห่งหนี่งในจังหวัดภาคใต้  ซึ่งเป็นจังหวัดแห่งตำนานนักปราชญ์   เช่น ศรีปราชญ์  เป็นจังหวัดที่รุ่งเรื่องด้วยวัฒนธรรม  และเป็นจังหวัดที่มีองค์พระธาตุที่สวยงดงามนั้นคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ประสงค์อยากจะได้ลูกชายเพราะตนนั้นมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งแล้ว และคิดว่าอยากจะมีลูกเพียงแค่สองคนเพราะตนนั้นมีฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก จึงอยากได้ลูกแค่เพียงแค่สองคน ซึ่งคนหนึ่งเป็นผู้หญิงน่ารักจึงตั้งชื่อให้ว่า เดียร์  มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Dear  แปลว่าที่รัก  เพราะมารดาของเธอเป็นครูสอนภาษาอังกฤษก็เลยอยากจะตั้งชื่อลูกให้เป็นภาษาอังกฤษ  และตั้งใจว่าหาได้ลูกคนที่สองก็อยากจะได้เป็นผู้ชาย จะได้ตั้งชื่อให้คล้องจองกัน  ว่า เดย์  Day  แปลว่าวัน  หากรวมกันก็จะเป็น “วันที่รัก”  ซึ่งจะเป็นพยานแห่งความรักของคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี   สองสามีภรรยาจึงคิดว่าหากข้าพเจ้าต้องการลูกชาย  ข้าพเจ้าน่าจะไปของกับพระสังกัจจายน์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประดิษฐาน อยู่ที่วัดพระมหาธาตุวรวิหาร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่บ้านพักของเธอ  และเธอมักจะเข้าไปทำบุญในวัดแห่งนี้พร้อมกับสามีเธอเป็นประจำตั้งแต่เธอได้มาอยู่ที่นครศรีธรรมราช  เพราะบ้านเดิมของเธอจริงๆอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดในแถบภาคอีสาน และเธอได้มาพบกับสามีเธอที่จังหวัดมหาสารคาม และได้ตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันกับสามีเธอที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพราะเป็นจังหวัดที่ใหญ่และเหมาะแก่การทำมาหากินพอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ จริงแล้วสามีเธอก็ไม่ได้เกิดที่จังหวัดนี้สามีเธอเป็นคนสงขลาได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชตั้งแต่พ่อของสามีเธอเสียชีวิตและได้มาบวชเรียนอยู่วัดพระมหาธาตุวรวิหารซึ่งมีสำนักเรียนทางด้านบาลีที่ใหญ่ที่สุดในเขตภาคใต้จนจบเปรียญธรรม๓ประโยคและเรียนกศน.จบ ม.6 แล้วต่อจนจบพม.ในสมัยนั้น หลังจากนั้นก็ลาสิกขาแล้วก็เลยปักหลักค้าขายทำมาหากินที่นี่จนได้พบกับคู่ชีวิตและได้ชวนเธอมาอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช  เมื่อเธอมาอยู่ที่นี่แล้วก็ได้ติดต่อหางานในสายที่เธอเรียนจบมา  เธอจบครูปกส.สูงมาจากวิทยาลัยครูมหาสารคาม เรื่องการค้าขายเธอจะไม่ค่อยคล่องเหมือนสามี  เธอจึงต้องการหางานเพื่อที่จะแบ่งเบาภาระค้าใช้จ่ายในครอบครัวเพราะตอนนี้เธอมีลูกน้อยที่ต้องดูแลอยู่และกำลังจะให้กำเนิดลูกน้อยอีกคนหนึ่งซึ่งเธอคาดหวังว่าจะได้ลูกชายตามที่ได้ไปของกับพระท่าน  เมื่อเธอได้ทราบข่าวว่าโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับที่เธอพักอาศัยเปิดรับสมัคร  เธอจึงไปสมัครแต่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเอกชนระดับมัธยมศึกษา  การแข่งขันในการสอบเข้าก็มีพอสมควรแต่ไม่มากเท่ากับของรัฐบาลเธอจึงไปสมัคร และสอบคัดเลือกได้เป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งนี้   และไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ได้ให้กำเนิดลูกชายสมกับที่เธอตั้งใจไว้ และตั้งชื่อเล่นให้ว่า เดย์    ชื่อจริงว่า ชัยวัฒน์  ตามที่พระท่านตั้งให้

ชีวิตคือการต่อสู้

 

                หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ถือกำเนิดออกมา  ข้าพเจ้ายังจำความได้บางส่วนในตอนวัยเล็กๆที่แม่ต้องไปส่งข้าพเจ้าทุกเช้าที่โรงเรียนอนุบาลชูศิลป์  เพราะนั้นวัยนั้นข้าพเจ้ายังเล็กมากและเป็นเด็กที่ค่อนข้างดื้อคุณแม่มักจะเป็นกังวลเสมอ  ในช่วงพักเที่ยงหากท่านไม่ติดขัดอะไรท่านก็มักจะแวะมาดูข้าพเจ้าเสมอ เพราะโรงเรียนที่ท่านสอนอยู่นั้น ไม่ไกลจากโรงเรียนข้าพเจ้าเท่าไหร่นัก   เมื่อข้าพเจ้าเรียนจบอนุบาล ๒ก็อายุได้เจ็ดขวบพอดีซึ่งเป็นสามารถเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาได้ ในช่วงที่ข้าพเจ้าเรียน ป.๑ คุณแม่จะไปส่งข้าพเจ้าในช่วงแรกๆ หลังจากนั้นก็จะให้เดินไปกับพี่สาวและเพื่อนที่อยู่ข้างบ้าน ข้าพเจ้าจะชอบเดินไปแต่เช้าแต่กว่าจะไปถึงโรงเรียนก็ใกล้จะเข้าแถว จริงๆแล้วระยะเวลาเดินจากบ้านไปโรงเรียนไม่กี่นานทีก็ถึงแล้วแต่ข้าพเจ้ามักจะชอบแวะเล่นในวัดพระมหาธาตุวรวิหารของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนเป็นประจำเพราะโรงเรียนจะอยู่ติดกับวัดเวลาเดินไปโรงเรียนก็จะใช้เส้นทางเดินภายในวัดเพราะวัดจะใหญ่มากมีพื้นที่จากบ้านไปถึงโรงเรียนพอดี และเส้นทางที่ใช้เดินก็ปลอดภัยจากรถด้วย  ข้าพเจ้าเรียนโรงเรียนแห่งนี้ตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ หลังจากนั้นก็ไปต่อมัธยมศึกษาที่โรงเรียนปากพูน ซึ่งต้องเดินทางออกไปไกลพอสมควร ที่ข้าพเจ้าไปเรียนที่นั้นเพราะพี่สาวและเพื่อนในละแวกแถวนั้นเรียนกันมากและมีรถไปรับไปส่ง  เมื่อข้าพเจ้าเรียนใกล้จะจบมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนที่แม่สอนอยู่ก็มีอันต้องปิดกิจการเพราะครูใหญ่ท่านได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ทำให้น้องชายของท่านที่มารับช่วงไม่ถนัดในการบริหารด้านการศึกษาจึงสั่งปิดโรงเรียนลอยแพครูและนักเรียนในช่วงนั้นเป็นข่าวค่อนข้างที่จะดังในสมัยพลเอกเปรมเป็นนายก และทางศึกษาธิการก็ได้ให้สภาทนายความช่วยเหลือในการฟ้องร้องแต่ก็ได้ค่าชดเชยมาไม่มากนัก แม่ของข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนจากอาชีพครูมาเป็นแม่ค้าช่วยพ่อขายของตามงานต่างๆพ่อของข้าพเจ้าในช่วงแรกก็ขายเป็นภาพโปสเตอร์  หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาขายเสื้อผ้าบาง  ขายของเด็กเล่นบางตามงานต่างๆ ที่เขาจัดไม่ว่าจะเป็นงานกาชาด  งานตรวจเลือกทหาร เป็นต้นและขายที่ตลาดนัดบางหากไม่มีงานที่เขาจัด     ในช่วงนั้นครอบครัวของข้าพเจ้าค่อนข้างที่ยากลำบากพอสมควรหลังจากแม่ไม่ได้เป็นครู  เมื่อข้าพเจ้าเห็นแม่ทำงานหนักแล้วรู้สึกสงสารและรู้สึกว่าอาชีพครูไม่ค่อยมั่นคงทำให้ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นครูในตอนนั้นเป็นผลทำให้ข้าพเจ้าพยายามหันเหชีวิตไปด้านอื่นแต่ก็ไม่พ้นที่เป็นครู เพราะในแถบจังหวัดที่ยังไม่ใช่เมืองอุตสาหกรรมเหมือนกรุงเทพฯหรือจังหวัดใหญ่ๆ งานค่อนข้างหายาก  และครูก็เป็นอาชีพที่น่าภาคภูมิใจอาชีพหนึ่ง    หลังจากที่ข้าพเจ้าได้จบมัธยมศึกษาปีที่ ๓ แม่ได้ปรึกษากับพ่อว่าต้องการที่จะย้ายครอบครัวกลับไปยังบ้านเกิดคือที่จังหวัดสุรินทร์ เพราะที่จังหวัดนครศรีฯไม่ค่อยที่จะมีงานทำและการค้าขายก็มีหลายเจ้าทำให้ได้กำไรไม่มากอีกอย่างในช่วงนั้นตากับยายก็อายุมากแล้ว เมื่อตัดสินใจเช่นนั้นพ่อกับแม่ก็ได้ขนของย้ายครอบครัวของข้าพเจ้ามาอยู่ที่บ้านตากับยายที่จังหวัดสุรินทร์  เมื่อมาถึงที่นี่เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าจะต้องศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๔ แต่ในตอนนั้นข้าพเจ้าอยากจะเรียนเทคนิคมากกว่าก็เลยไปสอบแต่ผลปรากฏว่าไม่ติดเพราะช่วงนั้นไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลยเพราะอยู่ในช่วงที่กำลังย้ายครอบครัวจากนครศรีฯมาอยู่สุรินทร์  เมื่อข้าพเจ้าสอบไม่ติดก็กะว่าจะเรียนต่อมัธยมศึกษาปีที่ ๔ แต่ในสมัยนั้นสังขะยังไม่เจริญมากทำให้ข้าพเจ้าไม่อยากเรียนอยู่ที่นั้น  แต่จะไปเรียนสุรวิทยาคารก็ปิดรับไปแล้ว ในช่วงนั้นหลังจากที่ลุงซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของพ่อได้ชวนข้าพเจ้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯข้าพเจ้าก็เลยตกปากรับคำที่จะไปเพราะคิดว่าไปเรียนกรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองที่เจริญน่าจะดี หลังจากที่ได้ไปสมัครเรียนซึ่งในเขตพื้นที่บริการใกล้กับที่บ้านลุงเขาได้เปิดรับรอบสองแต่ก็ต้องสอบเข้าเพราะไม่สามารถรับได้หมดแต่ก็ยังดีที่รอบนี้ข้าพเจ้าสอบได้  ยังคิดอยู่เลยแม้แต่โรงเรียนวัดเปิดรับรอบสองยังต้องสอบเข้าอีก  หลังจากสอบเข้าไปเรียนแล้วข้าพเจ้าก็เลือกเรียนสายวิทย์-คณิต เพราะหวังว่าเมื่อจบม.๔ แล้วจะไปลองสอบโรงเรียนเตรียมทหารดู แต่ในช่วงโรงเรียนยังไม่เปิดในช่วงนั้นเป็นช่วงหลังจากการปฏิวัติ และได้มีกลุ่มนักศึกษาและประชาชนออกมาประท้วงรัฐบาลในสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร  ทำให้โรงเรียนต้องปิดเรียนจนกว่าเหตุการณ์จะสงบเพราะโรงเรียนของข้าพเจ้าอยู่ในเขตพระนครซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามหลวงมากนัก และถัดไปนิดนึงก็ถึง สน.ชนะสงครามที่เกิดเหตุประทะระหว่างตำรวจกับประชาชน   ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าก็ชอบไปอยู่ร่วมกับเข้าด้วยจนในนาทีที่มีการจับพลตรีจำลองศรีเมืองเข้าพเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์   แต่ดีที่ข้าพเจ้าได้วิ่งหนีมากับนักข่าวและนักข่าวก็ขอร้องทหารไว้ไม่นั้นก็คงถูกจัดขึ้นรถยี่เอ็มซีไปกับเขาด้วยและบนรถนั้นก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกจับและถอดเสื้อยืนอัดแน่นจนเต็มรถ  นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าตื่นเต้นมากในชีวิต  หลังจากจับพลตรีจำลองไม่นานเหตุการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายไปอีกมีการเผากรมประชาสัมพันธ์ซึ่งข้าพเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์ในตอนนั้นและรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือนักศึกษา  หรือการเผารถน้ำมัน  และในคืนที่มีการประทะกันหนักก่อนจะประกาศเคอร์ฟิว  ข้าพเจ้าก็เห็นการยิงที่นองเลือดของทหารกับนักศึกษาและเห็นหลายคนช่วยกันยกร่างผู้บาดเจ็บมารักษาตัวในโรงแรมรอยัล  ติดกับสนามหลวงทำให้ข้าพเจ้าต้องหนีเอาตัวรอดโดยอ้อมฝ่าวงล้อมออกไป  และในช่วงบ่ายอีกวันที่แถวหน้าโรงพักสน.ชนะสงคราม ตำรวจตัดสินใจสลายการชุมนุมโดยดักซุมยิงผู้ที่ประทวง  ซึ่งข้าพเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นทำให้ต้องหนีลงเรือไปขึ้นที่ท่าน้ำนนทบุรีและไปพักบ้านพี่ที่เขาไปชุมนุมด้วยกัน  เพราะไม่มีรถกลับและเขากำลังจะประกาศเคอร์ฟิว เมื่อกลับมาในตอนเช้าก็พบสภาพที่เกลื่อนไปด้วยสิ่งของต่างๆหลังจากนั้นไม่นานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงเรียกให้พลเอกสุจินดา  คราประยูรและพลดรีจำลอง ศรีเมืองเข้าเฝ้าสถานการณ์จึงยุติลง

เปิดเรียน

 

             หลังจากเหตุการณ์สงบโรงเรียนก็เปิดเรียนแต่ในช่วงแรกก็ยังมีผลจากแรงกดดันของทางทหารซึ่งมีต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมก็ยังมีอยู่ เพราะหลังจากที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปเรียน รด. (นักศึกษาวิชาทหารรักษาดินแดน) เมื่อถูกลงโทษครูฝึกมักจะบ่นว่าพวกข้าพเจ้าเป็นพวกนักเรียนนักศึกษาที่มาประท้วงพวกเขา  และมักถูกแกล้งทำโทษเป็นประจำจนพวกที่พ่อเป็นนายพลไปฟ้องพ่อ มีผลทำให้ครูฝีกลดความเข้มงวดในการลงโทษไปบ้าง  หลังจากข้าพเจ้าเรียนจบ ม.๔ และไปสอบโรงเรียนเตรียมทหารแต่ผลปรากฏว่าสอบไม่ติด เพื่อนเลยชวนไปสอบเรียนที่ราชมงคล  เพื่อนบอกว่าเขาเปิดหลักสูตรใหม่ รับนักเรียน ม.๔ มาเรียนต่อปวส.ไม่ต้องเรียน ปวช. เรียนทีเดียวจบ ปวส.  ก็เลยไปสอบดู ผลปรากฏว่าติดภาคสมทบซึ่งต้องเสียค่าเทอมแพงกว่าภาคปกติ  ในวันสอบสัมภาษณ์ก็เลยแกล้งแต่งตัวผิดระเบียบไป  ทำให้ติดสำรองในภาคสัมภาษณ์  เลยโดนแม่ว่าทำไมทำเช่นนั้น  ก็เลยบอกว่าค่าเทอมแพงแม่ไม่มีเงินส่งให้เรียนหรอก  แม่ก็เลยด่าให้อีกยกหนึ่ง  แต่หลังจากนั้นไม่นานมีผู้สละสิทธิก็เลยขึ้นจากสำรองไปแทนพวกที่สละสิทธิ์และได้รอบปกติ ก็เลยได้เรียน ซึ่งเสียค่าเทอม  เทอมละไม่กี่พัน ซึ่งถูกว่าภาคสมทบกว่าเท่าตัว  และตอนเลือกเรียนก็เลือกไฟฟ้า  คิดว่าคงไม่อยากแต่เรียนจริงๆโอ้โห้มีแต่คำนวณทั้งนั้น  แต่ก็ดีอย่างหนึ่งในช่วงเศรษฐกิจกำลังดีนั้นในสาขาที่เรียนมีการเปิดรับผู้ที่จบเขาไปทำงานจำนวนมาและในตอนเรียนอยู่ข้าพเจ้าก็รับงานเดินสายไฟและติดตั้งไฟฟ้าภายในบ้านด้วย  ได้เงินพอสมควร ช่วงหลังก็รับงานเป็นโครงการบ้านจัดสรรที่สร้างใหม่เพื่อนยังทักเลยว่ากล้ารับงานใหญ่ระวังเจ๊ง แต่คิดว่าเศรษฐกิจกำลังดีคงไม่เป็นไร  แต่ไม่นานช่วงเปลี่ยนรัฐบาลพลเอกชวลิตเข้ามาและประกาศค่าเงินบาทลอยตัวโอ้โห้คราวนี้ละเจ๊งจริงด้วยเพราะนายทุนที่ว่าจ้างก็หนี้ไม่มีเงินจ่ายข้าพเจ้าต้องหาเงินมาให้เพื่อนที่มาทำงานให้เป็นบทเรียนราคาแพงเลย  หลังจากนั้นก็เรียนจบแต่เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นงานก็หายากทำให้ต้องกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่สุรินทร์ และโทรไปสอบถามงานจากสมุดหน้าเหลืองที่บริษัทเคเบิลซิสเต็ม ผู้จัดการก็เลยเรียกให้เข้าไปสัมภาษณ์และก็ได้ทำงานที่นั้น

ทำงาน

 

            หลังจากที่ทำงานที่บริษัทเคเบิลซิสเต็ม ที่จังหวัดสุรินทร์ไม่นานก็ออกมา เพราะในช่วงที่ทำงานผู้จัดการให้ทดลองงานในช่วงที่ทดลองงานก็ให้ไปทำในส่วนของการติดตั้งตู้โทรศัพท์สาขาในงานแรกรู้สึกว่าจะเป็นติดตั้งตู้สาขาที่โชว์รูมรถเปิดให้ของบริษัทอีซูซุ อำเภอประสาทตอนนั้นหัวหน้างานก็ให้ข้าพเจ้าเดินสายโทรศัพท์ร้อยท่อมาที่ตู้สาขา โดยมีลูกมือช่วยงานคนหนึ่งซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกงานของวิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ ซึ่งจริงๆแล้วก็น่าจะเป็นรุ่นเดียวกันเพราะข้าพเจ้าก็เพิ่งจบปีนั้นพอดี แต่ข้าพเจ้าฝึกงานมาแล้ว หลังสอบเสร็จฟังผลสอบก็ของใบรับรองจบได้เลย  แต่ของวิทยาลัยเทคนิคเขาให้ฝึกงานปีสุดท้ายก่อนจบ เขาก็เลยเหมือนจบช้ากว่าข้าพเจ้าประมาณสองถึงสามเดือน แต่ด้วยความที่ข้าพเจ้าเป็นพนังงานบริษัทแม้จะอยู่ในช่วงทดลองงานเขาก็จะเชื่อฟังในการทำงานของข้าพเจ้ามาก   ข้าพเจ้าก็อาศัยประสบการณ์ในการรับเหมาทำไฟฟ้ามาก่อน เมื่อหัวหน้างานให้เดินสายร้อยท่อก็ใช้เวลาไม่นานในการดึงสายมาที่ตู้สาขา  เมื่อเขาสั่งงานแล้วออกไปเช็คงานที่อื่น หลังกลับมาก็เห็นงานเสร็จแล้ว เขาก็บอกว่าเป็นงานนี่ เคยทำมาก่อนหรอ  ข้าพเจ้าก็บอกว่าเคยรับเหมาทำด้านไฟฟ้ามาก่อนเพราะข้าพเจ้าเรียนมาทางนี้ ส่วนเขาจบมาทางด้านอิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งการเดินสายติดตั้งตู้สาขาโทรศัพท์ก็เป็นเรื่องง่ายบวกกับประสบการณ์ในการทำงานก็เลยดูเหมือนคล่องตัว  หลังจากที่เดินสายมายังตู้ก็เหลือแต่ต่อสายเข้าตู้ก็จบงานแล้ว  แต่ที่ยากก็ตอนต่อสายเข้าตู้นี่แหละ ขนาดสายไฟมียังไม่ถึงร้อยสายก็ยังต้องเช็คแล้วเช็คอีกก่อนเข้าสายกับตู้ไฟ แต่นี่เป็นตู้สาขาโทรศัพท์ซึ่งมีสายเล็กๆที่เดินมาในสายใหญ่เป็นร้อยสายข้าพเจ้าต้องจำสีและก็ต้องทำเครื่องหมายไว้ก่อนต่อ  ในช่วงต่อก็พยายามเรียนรู้ว่าทำยังไง ถามเขา   เขาก็บอกว่าให้ดูเอา  ก็คิดในใจว่าไม่สอนงานเมื่อไรจะเป็น  แต่เขาบอกว่าข้าพเจ้าก็จบปวส.มาน่าจะเป็น เขาก็จบแค่ปวส.เหมือนกัน เขาคิดว่าหากข้าพเจ้าเป็นงานคงจะไปแย่งตำแหน่งของเขา ถ้าเป็นรุ่นที่ข้าพเจ้าไปช่วยเขาทำงานเสาร์-อาทิตย์ตอนที่เรียน ซึ่งรุ่นพี่ข้าพเจ้าเคยไปทำงานด้วยเขาทำงานการไฟฟ้าและช่วงเสาร์-อาทิตย์ก็มักจะรับเดินสายไฟให้เพื่อเปลี่ยนหม้อแปลงไฟหากเขาใช้ไฟเกินกว่าที่การไฟฟ้ากำหนดไว้ก็ต้องเปลี่ยนหม้อไฟใหม่จาก ๕ แอมป์ เป็น ๑๐ แอมป์ ก็ต้องเปลี่ยนสายไฟเมนหลักติดตั้งตู้ไฟใหม่ซึ่งพี่เขาก็มักจะรับงานมาแล้วให้ข้าพเจ้าก็ไปช่วยเมื่อถามเขา  เขาจะบอกละเอียดวิธีทำหมดโดยไม่ปิดบังเมื่องานเยอะก็มักจะแบ่งงานให้ข้าพเจ้ามาทำจนคล่องและก็กล้ารับงานเอง   แต่มาทำงานที่นี่เขาไม่สอนงานถามก็ไม่ตอบไม่ด่า ไม่ว่า  แต่เขาจะเป็นคนเงียบๆ     ซึ่งผิดกับสมัยที่ข้าพเจ้าเคยไปทำงานในช่วงปิดเทอมและฝึกงานทำให้นึกถึงตอนที่ข้าพเจ้าไปทำงานช่วงปิดเทอม ตอนนั้นไปหัวหน้าเขารู้ว่าข้าพเจ้าเรียนปวส.อยู่ก็ให้ทำงานเลย แต่จริงๆข้าพเจ้าก็ทำยังไม่เป็น หลังจากที่เขาแบ่งงานให้เดินสายภายในคนละห้อง เพราะในโครงการบ้านจัดสรรมีหลายหลังจึงต้องแบ่งกันทำ    แต่ข้าพเจ้ายังไม่เคยเดินสายไฟงานจริงเลยเคยแต่เรียนมา   ตอนเรียนก็เดินโครงสร้างบ้านที่เป็นไม้     ไม่เคยเดินสายไฟโครงสร้างบ้านที่เป็นปูนเมื่อเขาให้ทำ   ในความที่ข้าพเจ้าไม่เป็นงานทำให้ปูนที่เขาฉาบไว้แตกเป็นรอยเมื่อเขามาดู  ก็โดนด่าใหญ่เลย  แต่ดีอย่างหนึ่งเขาจะด่าไปด้วย บ่นไปด้วยแต่ก็สอนงานบอกวิธีทำว่าทำอย่างไร  แม้เขาจะจบแค่ ป.๔ แต่ประสบการณ์ในงานด้านนี้เขาทำมาเกือบ ๒๐ ปี เพราะตอนนั้นเขาก็อายุประมาณ ๔๐ กว่าๆ   หลังจากที่ข้าพเจ้าทำงานที่บริษัทเคเบิลซิสเต็มไม่นานก็ออกมาอยู่ช่วยพ่อกับแม่ขายของที่บ้าน แต่ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดีคนก็ไม่ค่อยซื้อของ   เคยไปสมัครงานที่บริษัทน้ำตาลสุรินทร์   ก่อนที่จะทำงานที่บริษัทเคเบิลซิสเต็ม   แต่เมื่อไปเขาก็บอกว่าคิดดูก่อนเพราะหัวหน้างานเห็นข้าพเจ้าแต่งตัวเรียนร้อย และจบราชมงคลมา    ก็คิดว่าคงทำงานลุยๆไม่เป็นเพราะงานเขาจะเป็นงานที่อยู่ในโรงงานเช็คพวกมอเตอร์ไฟฟ้าสายพาน   แต่จริงถ้าเป็นงานที่อื่นเขาก็รับแล้ว ช่วงมาอยู่บ้านไม่กี่วันก็รู้สึกเซ็งว่าจะเข้าไปหางานที่กรุงเทพทำแต่ทางบ้านไม่ก็ไม่อยากให้ไปช่วงนั้นก็คิดว่าจะเรียนต่อแต่แม่บอกว่าไม่มีเงินส่งเพราะส่งให้พี่สาวเรียนแล้ว  ข้าพเจ้าก็เลยต้องหางานทำแต่สุรินทร์งานน้อย  ไม่ค่อยมีงานข้าพเจ้ามักจะมองงานบริษัทมากกว่างานราชการเพราะราชการนานๆจะเปิดสอบที่ เมื่อเปิดสอบก็ต้องมีเส้นสายถึงจะเขาไปได้

ขอลาบวช

เมื่อว่างงานในช่วงนั้นก็เลยคิดว่าน่าจะบวชในช่วงนี้เพราะข้าพเจ้าก็อายุครบยี่สิบพอดี ก็เลยขอแม่ว่าจะบวชสักเจ็ดวันเมื่อบวชเสร็จว่าจะเข้ากรุงเทพหางานทำ  แม่ก็เลยไม่ว่าอะไร หลังจากที่ไปขอหลวงพ่อดูฤกษ์เรียบร้อยแล้วก็ต้องบอกญาติพี่น้องเพื่อขอขมาลาโทษก่อนบวชตอนแรกก็กะว่าไม่ต้องมีพิธีอะไรมากแค่โกนหัวแล้วก็ขออุปัชฌาย์บวช ในช่วงนั้นข้าพเจ้าก็ท่องขานนาคจนคล่อง แต่หลังจากไปขอญาติๆเขาก็บอกว่าบวชทำไมแค่เจ็ดวัน ทำไมไม่บวชสัก ๑๕ วันเพราะช่วงนี่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำงาน ข้าพเจ้าก็ว่าคงได้ก็ตอบตกลงว่าจะบวชสัก ๑๕ วัน หลังจากญาติอีกท่านก็บอกว่าบวชแค่ ๑๕ วันจะได้อะไร ต้องบวชสักเดือนหนึ่งเพราะท่านเคยบวชมาก่อน ข้าพเจ้าก็บอกว่าได้ครับเพราะช่วงนี่ยังไม่ได้ทำงานอะไร หากทำงานแล้วการที่ลามาบวชคงยากถ้าเป็นงานบริษัทเพราะบริษัทเขาให้ลาเต็มที่ก็แค่ ๑๕ วัน ข้าพเจ้าก็ตกลง  แต่เมื่อไปถึงญาติอีกท่านหนึ่งที่เป็นมัคทายกวัดซึ่งเป็นที่เคารพของพ่อกับแม่ และญาติทุกคน เขาบอกว่าให้บวชเอาพรรษาเพราะช่วงนั้นใกล้เขาพรรษาพอดี เขาบอกว่าในช่วงพรรษาจะได้เรียนนักธรรมด้วยข้าพเจ้าก็เลยต้องตกปากรับคำไป สรุปก็เลยบวชสักพรรษาหนึ่งหลังออกพรรษาก็กะจะลาสิกขา ก็ซื้อชุดไว้เตรียมลาสิกขาแล้ว  แต่เมื่อไปขอลาสิกขาหลวงพ่อบอกว่าให้อยู่สอบนักธรรมก่อนเพราะอุตสาห์เรียนมาข้าพเจ้าก็เลยต้องรับปากเพราะท่านเป็นอุปัชฌาย์ข้าพเจ้า   หลังสอบเสร็จท่านก็บอกว่าให้ไปปฏิบัติธรรมก่อนแล้วค่อยลาสิกขา  แต่เมื่อไปปฏิบัติธรรมใจข้าพเจ้าก็รู้สึกสงบขึ้นซึ่งไม่เคยรู้สึกเช่นนี่มาก่อนในชีวิตทำให้ยิ่งศรัทธาในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งขึ้นในช่วงที่กลับมาความคิดที่ลาสิกขาก็สงบลงจนแม่ถามว่ายังไม่ลาสิกขาหรอ ข้าพเจ้าบอกว่าเดี๋ยวก่อนอยู่อีกสักระยะหนึ่งก่อนเพราะช่วงนี้เศรษฐกิจยังไม่ดีเท่าไร   แต่อารมณ์ข้าพเจ้ามันก็เป็นเพียงแค่ปุถุชนเมื่อเกิดฟุ้งซ่านในทางโลกๆก็อยากจะลาสิกขาอีกเพราะพระเพื่อนที่อยู่ด้วยตอนนั้นก็ลาลาสิกขาขาไปหลายรูป ก็มีอีกท่านหนึ่งก็คิดจะลาสิกขาข้าพเจ้าก็บอกว่าเดี๋ยวลาสิกขาพร้อมกันก็ไปบอกทางบ้าน ทางบ้านก็บอกว่าได้ก็ให้ไปขอหลวงพ่ออุปัชฌาย์  ท่านบอกให้ข้าพเจ้าอยู่ก่อนอยู่ช่วงงานท่านก่อนข้าพเจ้าก็ไม่กล้าขัด แต่ใจก็ยังกระวนกระวายอยู่จึงต้องแบกกรดออกไปปฏิบัติธรรมอีกครั้งใจก็สงบลง เมื่อยังไม่ได้ลาลาสิกขาขาข้าพเจ้าก็ไปลงทะเบียนเรียนของมสธ.เพราะเขาเปิดโอกาสให้พระภิกษุเรียนได้  เมื่อเรียนไปทำงานช่วยหลวงพ่อไปก็ไม่ค่อยได้คิดอะไรแต่ก็มีความคิดลาสิกขามาเป็นช่วงๆ แต่ขอท่านที่ไรท่านก็ไม่ให้ท่านบอกว่ายังไม่ถึงเวลาข้าพเจ้าก็ไม่เขาใจแต่ตอนนั้นข้าพเจ้าไปถ่ายรูปในโบสถ์กับพระเพื่อน ก็เปลี่ยนกันถ่ายให้กันแต่เมื่อล้างรูปออกมาแล้วมีแต่รู้ข้าพเจ้าคนเดียวพระเพื่อนบอกว่าสงสัยอีกไม่นานท่านคงจะหมดบุญในผ้าเหลืองแล้วเหลือแต่ข้าพเจ้าที่ต้องอยู่ช่วยหลวงพ่อไปก่อน ไม่นานนักท่านก็ลาสิกขาไป ข้าพเจ้าก็คิดจะลาสิกขาบางแต่หลวงพ่อท่านไม่ยอมบอกว่าเห็นว่าลงเรียนมสธ. ให้เรียนใกล้จบค่อยลาสิกขาก็ได้เพราะถ้าไปทำงานโอกาสจะเรียนยาก  แต่เมื่อข้าพเจ้าเรียนไปเวลาว่างในการอ่านหนังสือน้อยเพราะต้องช่วยงานหลวงพ่อ  ซึ่งหลวงพ่อมักจะใช้ให้ช่วยพิมพ์งานเอกสารเป็นประจำ แต่ที่จริงตอนแรกๆยังพิมพ์ไม่เป็นเพราะตอนนั้นใช้เครื่องพิมพ์ดีดพิมพ์   เครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มแพร่หลายไม่มากเพราะมีราคาแพงและข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนสมัยข้าพเจ้าเรียนการใช้งานยังยากอยู่เพราะกว่าจะเปิดเครื่องได้ต้องมีแผ่นบู๊ตเครื่อง และต้องเขาโปรแกรมดอส เมื่อเขาไปแรกๆจอจะเป็นสีดำไม่เหมือนวินโดว์สมัยนี้เปิดปั๊บก็เขาใช้งานได้เลย     แต่การใช้งานเครื่องพิมพ์ดีดข้าพเจ้าก็ยังไม่ค่อยคล่อง ข้าพเจ้าเองก็พิมพ์ไม่เป็นเพราะไม่เคยเรียนพิมพ์ดีดมาก่อน  แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งพระเพื่อนท่านเรียน กศน.และจะไปเรียนพิมพ์ดีดท่านได้เขามาขอหลวงพ่อ เพราะท่านต้องไปเรียนทุกวันทำให้ไม่มีเวลาในการช่วยงานวัดจึงต้องแจ้งให้หลวงพ่อทราบก่อนแต่เมื่อท่านไปกราบเรียนหลวงพ่อ  หลวงพ่อก็เลยบอกว่าให้พาข้าพเจ้าไปด้วยเพื่อพิมพ์งานเป็นจะได้ช่วงพิมพ์งานเอกสาร แต่ใจจริงไม่อยากเรียนแต่ก็ขัดหลวงพ่อไม่ได้เพราะในสมัยเรียนช่างมีเพื่อนชวนไปเรียนสมัยนั้นก็คิดว่าไม่รู้จะเรียนไปทำไมเพราะข้าพเจ้าเรียนไฟฟ้ามาและไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่ ไม่เหมือนพวกสายคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้งานมาก  และคิดว่างานพิมพ์เอกสารเป็นงานผู้หญิงพวกเด็กพาณิชย์เขาเรียนกันในตอนนั้นทัศนคติของข้าพเจ้าจะออกไปแนวเด็กช่างที่ต้องห้าวๆมีเรื่องยกพวกตีกันซึ่งมันทำให้รู้สึกเป็นเด็กช่างรู้สึกเป็นผู้ชายหน่อย  แต่เมื่อโตขึ้นมาเห็นเด็กตีกันก็ว่าไรสาระแต่ตอนสมัยนั้นอารมณ์มันพาไปอารมณ์รักเพื่อนประมาณว่าตายแทนมันได้  แต่จริงหากเกิดเรื่องที่ไรเพื่อนวิ่งหนีก่อนประจำทำให้บางครั้งติดอยู่ในวงล้อมเขาดีที่มีเด็กที่เรียนปวช.ช่วยไว้ได้ แต่ก็มีเรื่องกับโรงเรียนอื่นบ่อย   ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงสมัยเรียนว่าข้าพเจ้าไม่ชอบสายพาณิชย์ไม่ชอบงานที่ผู้หญิงเรียนหรือทำ  และคิดว่างานเอกสารน่าจะเป็นงานของผู้หญิง  แต่เมื่อหลวงพ่อบอกว่าให้ข้าพเจ้าไปเรียนก็ต้องปฏิบัติตามเพราะว่าท่านเป็นอุปัชฌาย์  แต่บางคนคิดว่าทำไม่ต้องทำตามอุปัชฌาย์ตลอด เพราะจริงๆในพระธรรมวินัยได้บัญญัติไว้ว่าหากผู้เป็นอุปัชฌาย์เป็นผู้เพ่งโทษเป็นผู้ว่ากล่าวตักเตือนชี้แนะในทางที่ชอบ ไม่ผิดธรรม ไม่ผิดวินัยข้าพเจ้าก็ควรรับฟังและปฏิบัติตามเพราะท่านเปรียบเหมือนบิดามารดาที่ปรารถนาดีต่อบุตร  หากไม่ปฏิบัติตามเป็นผู้ว่ายากสอนยากหากสงฆ์ได้ตัดเตือนและบอกกล่าว  สวดครบสามครั้งไม่ยอมละ ไม่ยอมปฏิบัติตามก็จะต้องอาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งเป็นอาบัติหนักรองจากปาราชิก ซึ่งปลงอาบัติไม่ตก  ต้องประพฤติวุฒฐานวิธี คือวิธีที่ทำให้ออกจากอาบัติด้วยการอยู่ปริวาสกรรม หรือการกักบริเวณ เพื่อประพฤติปฏิบัติในการทรมานตนให้ออกจากอาบัติ อย่างน้อย ๑๐ วัน  ทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยกล้าขัดคำสั่งท่านหากเป็นเรื่องที่ไม่ผิดพระธรรมวินัย  เมื่อพระเพื่อนขอไปเรียนพิมพ์ดีดและท่านบอกให้ข้าพเจ้าไปด้วยข้าพเจ้าก็ไปเรียน  เมื่อไปที่โรงเรียนพิมพ์ดีดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก  พระเพื่อนก็จะชวนข้าพเจ้าไปประจำแต่หลักสูตรเขาต้องเรียนสามเดือนจึงจะจบหลักสูตร  แต่ท่านเรียนได้ประมาณเดือนกว่าก็เลิกเรียนทำให้ข้าพเจ้าต้องเลิกไปด้วยเพราะไม่มีเพื่อนไปเรียนด้วยเพราะตอนไปนั่งเรียนก็มีแต่ผู้หญิงไปเรียนก็เลยไม่กล้าไปรูปเดียว แต่ก็พอพิมพ์ได้บางแต่ไม่ค่อยคล่องอาศัยที่ครูค่อยจำจี้จำไช   ให้มองแต่หนังสือห้ามมองแป้นพิมพ์เพราะเรียนพิมพ์สัมผัส แต่พระเพื่อนท่านอยู่ข้างหลังนั่งอยู่สุดท้ายท่านก็จิ้มดีดไปเรียนผ่านไปหลายบทข้าพเจ้าบทแรกก็ปาก็ไปอาทิตย์หนึ่งกว่าจะจบบทเพราะไม่ถนัดในการใช้นิ้วพิมพ์ช่วงแรกๆเมื่อยมือปวดนิ้วมากเพราะต้องออกแรงในการพิมพ์ไม่เหมือนพิมพ์เครื่องคอมในปัจจุบันแค่จิ้มนิดหนึ่งก็ได้แล้วเหมือนกับขับรถ ถ้าเป็นรถสมัยก่อนเวลาเลี้ยวต้องหมุนพวงมาลัยหลายรอบกว่าจะได้ แต่รถสมัยนี้เป็นแบบออโต้ หมุนนิดเดียวก็ได้แล้ว  ข้าพเจ้าพิมพ์ดีดก็เหมือนกันกว่าจะได้แต่ละตัวอักษร หากพิมพ์ผิดก็ต้องย้อนกับไปพิมพ์ใหม่  ตอนเรียนครูก็ให้พิมพ์ทับไปเลยแต่ถ้าพิมพ์งานจริง ข้าพเจ้าจะใช้ ลิปควิกเปเปอร์ลบจนเต็มหน้าเหมือนกับงานศิลปะเลยตอนที่พิมพ์งานให้หลวงพ่อใหม่ๆ ก็เลยไม่อยากพิมพ์แต่ก็มีใครช่วยพิมพ์ยิ่งช่วงที่ต้องส่งรายชื่อนักธรรมของวัดต่างๆกว่าร้อยวัดต้องนั่งพิมพ์ทั้งวันทั้งคืนเพราะต้องรีบส่งแม่กองธรรมสนามหลวง และงานเอกสารหลวงพ่อท่านเยอะมากไม่ว่าจะเป็นบัญชีสิทธิวิหาริก สำหรับผู้บวชใหม่ รายชื่อพระที่จำพรรษาในเขตอำเภอสังขะที่ต้องส่งไปที่สำนักงานเจ้าคณะจังหวัด เพราะตอนนั้นหลวงพ่อท่านเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดและทำงานด้านการศึกษา และเก็บรวบรวมข้อมูลคณะสงฆ์ หลังจากนั้นต่อมาเมื่อเจ้าคณะอำเภอองค์ก่อนมรณะภาพไปท่านก็ได้ขึ้นมาเป็นเจ้าคณะอำเภอดูแลอำเภอสังขะทั้งหมด

บวชแล้วก็ต้องเรียน

เมื่อข้าพเจ้าบวชเข้ามาแล้วยังไม่ได้ลาสิกขาก็เลยคิดว่าเมื่อบวชแล้วก็น่าจะเรียนเพิ่งทางด้านคณะสงฆ์และวิชาที่พระควรที่จะเรียนแต่ที่วัดสอนแต่นักธรรมซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นผู้สอนเองแต่ท่านมักไม่มีเวลาข้าพเจ้าเลยต้องอ่านเองบางครั้งก็ให้ข้าพเจ้าสอนแทนเพราะเห็นว่าข้าพเจ้าเรียนจบ ปวส.มาจะมีภูมิความรู้และเรียนได้เร็วกว่ารูปอื่นและสามารถสอนแทนได้     ข้าพเจ้าก็เลยช่วยหลวงพ่อสอนมาตลอดตั้งแต่เรียนนักธรรมชั้นตรี หลังจากนั้นไม่นานทาง มจร. (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์  มหาวิทยาลัยสงฆ์ของจังหวัดสุรินทร์)ก็เปิดรับนิสิตใหม่ ก็เลยไปสมัครเรียนในคณะครุศาสตร์  เอกภาษาอังกฤษ  ที่เรียนเพราะข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าไม่ค่อยคล่องภาษาอังกฤษเท่าไร  แต่ในช่วงเรียนต้องเดินทางไปกลับวันหนึ่งก็เป็นร้อยกิโลเพราะไปสุรินทร์ก็สี่สิบกว่ากิโลเมตร และเข้าไปยังมหาวิทยาลัยห้วยเสนง สมัยนั้นอาคารเรียนเพิ่งสร้างเพราะก่อตั้งยังไม่นาน  ในช่วงปีหนี่งข้าพเจ้าก็ได้เรียนวิชาพื้นฐาน  ในส่วนของทางพระเพราะที่นี่เมื่อจบออกไปจะได้วุฒิ พุทธศาสตร์บัณฑิต เอกการสอนภาษาอังกฤษ แต่เมื่อเรียนไปรู้สึกว่ายากเพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยคล่องในเรื่องภาษาอังกฤษก็กะว่าจะย้ายสาขาไปเรียนเอกการสอนวิชาสังคมศึกษาในปีสามเพราะเขาจะแยกเอกการสอนในปีสาม  แต่เมื่อขึ้นปีสองทางบ้านก็ประสบปัญหาด้านการเงิน ทำให้ต้องลาสิกขาออกมาทำงานช่วยทางบ้าน และช่วงนั้นข้าพเจ้าก็ใกล้จบ มสธ. เพราะเหลืออยู่เพียงแค่สามวิชาสุดท้ายก็จบแล้ว หลวงพ่อท่านก็เลยยอมให้ลาสิกขาออกมาเพราะท่านคิดว่าหากข้าพเจ้าไม่ออกไปช่วยทางบ้านพ่อแม่ก็คงจะลำบากเพราะท่านอายุมากแล้ว

ลาสิกขาออกมาทำงาน

 

เมื่อลาสิกขาออกมาก็อยู่วัดได้ไม่กี่วันก็หาสมัครงานแต่งานในจังหวัดสุรินทร์ไม่ค่อยมีก็ต้องไปหางานที่โคราช แต่ช่วงนั้นเศรษฐกิจก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรงานก็ยังไม่มาก ก็เลยเข้ากรุงเทพฯไปสมัครงานที่พักก็ยังไม่มี   เมื่อไปถึงก็ไปติดต่อสำนักงานจัดหางานของกรมแรงงานเขตสวนจตุจักรเพราะช่วงนั้นหมอชิตยังใช้พื้นที่หมอชิตเก่าซึ่งเป็นพื้นที่ ที่จอดรถไฟฟ้าในปัจจุบัน  เมื่อเช็คงานที่ต้องการก็ให้เขาติดต่อสอบถามตำแหน่งและเส้นทางการเดินทางก็ไปสมัครที่บริษัท  ชื่อบริษัทโอเชี่ยนแอดเวอร์ไทส์ซิ่ง   เป็นบริษัทในเครือของบริษัทไอเดียลแอพโพรช ทำเกี่ยวกับด้านการตลาดการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป หลังจากสัมภาษณ์และนัดวันดูงานและทดสอบในวันจันทร์เพราะตอนที่เข้าพเจ้าไปสมัครเป็นวันอาทิตย์เมื่อไม่มีที่พักและไม่มีเงินจึงต้องกลับมาตั้งหลักที่บ้านก่อนและเมื่อมานั่งทบทวนดูวันหนึ่งแล้ว  ก็คิดว่าน่าจะลองดูก็เลยซื้อตั๋วรถทัวส์เขากรุงเทพในคืนวันอาทิตย์  มาถึงกรุงเทพก็เช้าวันจันทร์เป็นวันดูงานพอดี  ในวันที่เขานัดข้าพเจ้าก็ไปดูงานซึ่งเป็นงานนอกสถานที่ ที่ต้องติดต่อหาลูกค้า หัวหน้างานข้าพเจ้าเขาเป็นผู้หญิงและจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รู้สึกว่าเขาเทคแคร์สอนงานข้าพเจ้าดีก็คิดว่าน่าจะเรียนรู้ได้แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่เคยทำและไม่ได้เรียนมาด้านนี้  แต่ก็คิดอยู่ในใจว่าคืนนี้จะพักที่ไหนเพราะมากระเป๋าใบเดียวเสื้อผ้าก็มีอยู่แค่สองสามชุด ในช่วงสัมภาษณ์รอบสุดท้ายตอนเย็น ผู้จัดการถามว่าคิดว่าเรียนรู้ได้ไหมข้าพเจ้าก็บอกว่าได้ แล้วเขาบอกว่าพร้อมทำงานไหม ข้าพเจ้าบอกว่าพร้อมแต่ติดขัดเรื่องที่พักยังไม่ที่พักเขาถามว่าข้าพเจ้ามาจากที่ไหนข้าพเจ้าบอกว่ามาจากสุรินทร์ เขาบอกว่าเขาอยู่อุบล เป็นคนอีสานเหมือนกันเขาบอกว่าให้ข้าพเจ้าพักกับเขาไหมเพราะตอนนี้พักกันสองสามคนเพราะเขาเพิ่งย้ายมาประจำที่นี่พร้อมพนักงานบางส่วน  พนักงานที่มาด้วยก็ยังพักอยู่รวมกันแล้วค่อยขยับขยาย หลังจากพูดจบเขาก็ให้พนักงานพาข้าพเจ้าไปที่พัก แต่จริงข้าพเจ้ายังไม่ตกลงว่าจะทำไหมแต่เห็นเขามีน้ำใจก็เลยไม่ขัด  เงินที่ติดตัวมาจากบ้านก็มีแค่พันเดียว ตอนนี้เหลือแค่ห้าร้อยกว่าบาทก็คิดว่าจะอยู่ได้สักกี่วัน  แต่ถ้ามีที่พักก็คงจะอยู่อีกสักพักเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยๆว่ากันลองทำดูก่อน  หลังจากที่ข้าพเจ้าทำงานที่นั่นตลอดมาจนถึง ปี ๒๕๕๑ ต้องออกมาเพราะสาขาของบริษัทที่ข้าพเจ้าดูแลอยู่ประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน และข้าพเจ้าก็คิดว่าจะกลับมาอยู่บ้านด้วยเพราะพ่อกับแม่ท่านอายุมากแล้วไม่มีใครดูแล  พี่สาวข้าพเจ้าก็ทำงานฝ่ายบัญชีที่นั่นด้วย  ก็เลยขอลาออก  ในช่วงที่ออกมาผู้จัดการก็ติดต่อมาหลายครั้งให้มาทำในอีกสาขาหนึ่งแต่ข้าพเจ้าบอกว่าอยากทำงานในต่างจังหวัดมากกว่าเพราะอยู่กรุงเทพมานานแล้วเมื่อมาอยู่ที่บ้านหลวงพี่ท่านทราบก็เลยชวนมาช่วยสอนที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดโพธาราม  ซึ่งเป็นวัดที่เคยบวชเรียนก็เลยตกลงเพราะจะได้ช่วยหลวงพ่ออุปัชฌาย์ด้วยเพราะท่านเป็นผู้จัดการโรงเรียนที่นี่

เรียนต่อ

 

แต่ในช่วงที่สอนในเทอมที่สองช่วงเดือนตุลาคมซึ่งเริ่มเปิดเรียนในช่วงปลายเดือน ข้าพเจ้าเข้ามาสอนในตอนนั้นยังไม่มีวุฒิครู พอดีทางมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ได้เปิดรับผู้ที่ต้องการเรียนระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ซึ่งเปิดรับในช่วงเดือนตุลาคม ปี ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นรุ่นที่สอง  ข้าพเจ้าก็ไปสมัครเรียนเป็นวันเปิดเรียนวันแรกพอดีเขาก็เลยรับให้เขาเรียน หลักจากเรียนจบฝึกสอนข้าพเจ้าก็ฝีกสอนที่โรงเรียนที่สอนอยู่และในช่วงที่เขาเปิดสอบครูข้าพเจ้ากะว่าจะไปสมัครแต่วุฒิปริญญาตรีของข้าพเจ้าเขาบอกว่าไม่ตรงเอก  เลยตรวจสอบเพื่อนที่สอบ สายครูผู้สอนวิชาคอมพิวเตอร์  ซึ่งมีอยู่คนหนึ่งที่จบเทคนิคมาแล้วมาต่อ สาขาคอมพิวเตอร์อุตสาหกรรมของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เห็นว่าสอบได้แต่รู้สึกจะรับเฉพาะเขต ๓  แต่เขตอื่นไม่แน่ใจ  ก็เลยชวนเพื่อนมาสมัครเรียนปริญญาตรีใหม่  ตอนแรกว่าจะเรียนสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์แต่มีเฉพาะหลักสูตร ๔ ปี  ก็เลยมาเรียนคอมพิวเตอร์อุตสาหกรรมเพราะสามารถเทียบโอนได้มากกว่าโดยเอาวุฒิปวส.และปริญญาตรีเทียบโอน แต่เมื่อเขามาเรียนเรื่องเทียบโอนก็ยังไม่ชัดเจน ส่วนเพื่อนที่เรียนป.บัณฑิตมาด้วยกันก็เรียน กศ.บป.ด้วยแต่เขาเรียนคอมพิวเตอร์ธุรกิจเพราะเขาจบรัฐศาสตร์ ม.รามมา  เขาโอนพวกวิชาเศรษฐศาสตร์ได้  แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ลงเรียนวิชาตรงพวกนี้มา  แต่จริงๆก็เรียนมาบ้างเหมือนกันแต่อาจารย์บอกว่าเทียบโอนไม่ได้  ก็เลยมาเรียนคอมพิวเตอร์อุตสาหกรรมเพราะข้าพเจ้าจบสายช่างมาอาจารย์ก็เลยบอกว่าให้เอาวุฒิ ปวส.ไฟฟ้ามาเทียบโอนน่าจะได้มากกว่าวุฒิ ป.ตรี ของ มสธ.   ส่วนวุฒิปริญญาตรีข้าพเจ้าก็ของเทียบโอนวิชาพื้นฐานและข้าพเจ้าก็ได้เอาวุฒิ ป.บัณฑิต  เทียบโอนวิชาเทคโนยีสารสนเทศด้วย  แต่การเทียบโอนยังไม่แล้วเสร็จเพราะทางเจ้าหน้าที่ของแผนกยังไม่เคยเทียบโอนวิชาทำให้ช้าและเทียบโอนไม่ครบ ข้าพเจ้าก็เลยต้องเอามาเทียบโอนเองแล้วเอาไปให้เขาดูว่าเขาเทียบโอนตกไปหลายวิชาก็เลยของให้เขาส่งเรื่องเทียบโอนไปให้ฝ่ายส่งเสริมใหม่และในส่วนวิชาทั่วไป ก็ยังเทียบโอนไม่เสร็จ  และวิชาพฤติกรรมมนุษย์ จริงๆแล้วข้าพเจ้าก็เรียนมาแล้วที่ มสธ.แต่เขายังเทียบโอนไม่เสร็จก็เลยไปนั่งเรียนกับเพื่อน  ซึ่งข้าพเจ้าได้ลงวิชาอื่นเพิ่ม  ตามหลังทางมหาวิทยาลัยน่าจะให้ลงเรียน ๑๘ หน่วยกิต ต่อภาคเรียน เพราะบางมหาลัยของราชภัฏที่อื่นก็ให้ลงเรียนเพราะถ้าลงเรียน ๑๘ หน่วยกิต ก็ประมาณ ๖ วิชาต่อเทอมก็จะจบเร็วขึ้นมาอีกเทอม ซึ่งหากจัดระบบตารางการเรียนก็เรียนวันละ ๓ วิชาก็จะลงตัวพอดี

 

เรียนวิชาพฤติกรรมมนุษย์และการพัฒนาตน

 

วิชาพฤติกรรมมนุษย์แม้ข้าพเจ้าอาจจะเคยเรียนมาบางที่มสธ.หรือแม้แต่จะเคยเรียนจิตวิทยาสำหรับครูมาบางแต่เมื่อได้เข้าเรียนและได้ศึกษาเอกสาร และเข้าฟังการบรรยายของท่านอาจารย์กิ่งเพชร และอาจารย์ศึกษา ก็ทำให้รู้ว่ามีอีกหลายเรื่องที่ข้าพเจ้ายังไม่รู้และยังไม่ลึกซึ้งเพราะพฤติกรรมมนุษย์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยแตกต่างกันและมนุษย์ก็ต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ และในส่วนของหนังสือของอาจารย์ได้จัดทำขึ้นก็มีหลายจุดที่ข้าพเจ้าสนใจ ไม่จะรูปแบบของกระบวนการทำงานของจิตในบทแรก และในส่วนใบกิจกรรมในหน้าที่๕ ของบทที่หนึ่ง ใน กรณี: เป็นอย่างที่คิด  รู้สึกประทับใจในความรู้และก็ได้ศึกษามาบางจึงทำให้น่าสนใจในการเรียนมายิ่งขึ้น  ซึ่งในส่วนของการใช้รูปแบบการสะกดจิตบำบัดข้าพเจ้าก็เคยได้เรียนรู้จากอาจารย์บุญเลิศ สายสนิท ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้   ในบทที่สอง  ก็เป็นส่วนที่เป็นกลไกการทำงานพื้นฐานของมนุษย์   บทที่๓   ก็จะเป็นในส่วนของพหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์เนอร์    บทที่ ๔ ก็จะเป็นในส่วนของ ระดับการเห็นคุณค่าแห่งตนสามารถปรับเปลี่ยนได้  โดยการตรวจสอบภาพพจน์ของตนเอง ด้วยความเข้าใจว่า  ข้าพเจ้าเป็นใคร ทำอะไร  การพัฒนาตนอย่างช้าๆแต่ต่อเนื่อง ด้วยการตั้งเป้าประสงค์ความสำเร็จและพูดกับตนเองเชิงบวก  บทที่ ๕ กระบวนการพัฒนาตนเอง  เป้าหมายในการพัฒนาตนเอง วงจรในการพัฒนาตนเอง  การพัฒนาตนตามแนวพุทธศาสนา  บทที่ ๖ การบริหารตนเอง   การบริหารเวลา การควบคุมและพัฒนาด้านร่างกาย  การจัดการกับความเครียดและความโกรธ   การพัฒนาพฤติกรรมกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม  บทที่ ๗  การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ หลักทั่วไปในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์  วิธีปฏิบัติต่อผู้อื่นเพื่อสร้างมนุษย์สัมพันธ์  บทที่ ๘ การติดต่อสื่อสารเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี   ซึ่งคนเราใช้เวลา ๘๐% ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น  บทที่ ๙ การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  ปรัชญาการทำงาน(โดยนายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์)  เบื่องาน-เบื่องาน ปรับตัวอย่างไร  วิธีจูงใจพนักงานที่เบื่องาน  บทที่ ๑๐ ผู้นำและผู้ตาม   ผู้นำและภาวะผู้นำ  อิทธิพลและอำนาจของผู้นำ  หน้าที่และบทบาทของผู้นำ  บทที่ ๑๑ แรงจูงใจในการทำงาน  ความหมายของแรงจูงใจและการจูงใจ  กระบวนการของแรงจูงใจ ทฤษฏีแรงจูงใจ ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม(ทฤษฎีแรงขับ หรือทฤษฏีลดแรงขับ)  ทฤษฏีมนุษยนิยม ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์  บทที่ 12 เป้าหมายในการดำเนินชีวิต  แนวทางในการดำเนินชีวิต  อุปสรรคและแนวทางแก้ไขปัญหาในการดำเนินชีวิต  วิธีการแก้ปัญหา

ขั้นตอนในการแก้ปัญหา

 

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จาก

วิชาพฤติกรรมมนุษย์และการพัฒนาตน

คือ

ความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์

ข้าพเจ้าอยากเป็นมนุษย์

ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นคน

แต่ถ้า  เป็นฅน  ข้าพเจ้าก็จะเป็นเพราะเป็น ฅนจริงๆ  มาจาก ฅ   ฅน  ไม่ คน  มาจาก ค.ควาย

ปัจจุบันนี้ ฅน  ยืมตัวอักษร  ค.ควาย  มาใช้   ฅน  เลยหมดความเป็นฅน ที่สมบูรณ์  แม้ใน

แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ของข้าพเจ้ายังไม่มีเลย   ความเป็นฅน  มันหายไปแล้วจริงๆหรือจากโลก

นี้

ดังนั้น  ข้าพเจ้าขอเป็นมนุษย์ละกัน  เพราะมนุษย์   มาจากภาษาบาลีว่า  มน + อุสฺส

มน  แปลว่า  ใจ   อุสฺส  แปลว่า  สูง    รวมเป็น มนุสฺส   ผู้มีใจสูง     ผู้ใดมีใจที่สูงผู้นั้นได้ชื่อว่า

เป็น มนุษย์       ข้าพเจ้าจึงอยากเป็นมนุษย์

หมายเหตุ

อัตชีวประวัติ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สำหรับอัตชีวประวัติ ในนโยบายวิกิพีเดีย ดูที่ วิกิพีเดีย:อัตชีวประวัติ

อัตชีวประวัติ(อังกฤษ: Autobiography) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกสามคำ: “autos” แปลว่า “ตนเอง” และคำว่า “βίος” หรือ “bios” แปลว่า “ชีวิต” และคำว่า “γράφειν” หรือ “graphein” แปลว่า “เขียน” เป็นเรื่องราวของบุคคลโดยเขียนขึ้นโดยบุคคลคนนั้นเอง โดยเนื้อหา อาจเล่าถึงชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน หรือ ไม่เคยถูกเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน ชีวประวัติที่เขียนโดยเจ้าของชีวิต หรือในความหมายปัจจุบันหมายถึงประวัติที่ที่เขียนโดยเจ้าของชีวิตร่วมกับนักประพันธ์อาชีพในลักษณะบอกให้เขียน คำว่า “อัตชีวประวัติ” ใช้เป็นครั้งแรกโดย โรเบิร์ต ซัทธีย์ (Robert Southey) ในปี ค.ศ. 1809ในวรสารแต่ลักษณะการเขียนแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ นักเขียนชีวประวัติมักจะเขียนประวัติจากเอกสารอ้างอิงต่างๆ และจากความคิดเห็นของตนเอง แต่นักเขียนอัตชีวประวัติเขียนจากความทรงจำของตนเอง ซึ่งใกล้เคียงกับบันทึกความทรงจำ (Memoir) ซึ่งบางครั้งแยกออกจากกันยาก

ที่มาจาก

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4



  • ไม่มี
  • Mr WordPress: Hi, this is a comment.To delete a comment, just log in, and view the posts' comments, there you will have the option to edit or delete them.

หมวดหมู่

คลังเก็บ